การกลับมาอีกครั้งของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในศึกยูฟ่า ยูโรป้าลีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำตลอดฤดูกาลที่แล้ว แม้โชเซ่ มูรินโญ่จะถูกเด้งออกจากทีมไป แต่กุนซือคนใหม่อย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลชาก็ไม่อาจปลุกวิญญาณปีศาจแดงให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนจบด้วยอันดับ 6 บนตารางพรีเมียร์ลีก และต้องไปเล่นยูฟ่า ยูโรป้าลีก ในปีนี้ด้วยฐานะทีมเต็งแชมป์ โดยการจับสลากรอบแบ่งกลุ่มที่เพิ่งผ่านไป ปีศาจแดงได้เพื่อนร่วมกลุ่ม L อย่างอาสตาน่า จากคาซัคสถาน, ปาร์ติซาน เบลเกรด จากเซอร์เบีย และ อาแซด อัลค์มาร์ จากเนเธอร์แลนด์ แม้แต่ละทีมดูจะไม่ใช่งานยากสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด แต่ทั้งสามทีมกลับสร้างความลำบากในเรื่องการเดินทางไกลให้ทีมจากอังกฤษอย่างเลี่ยงไม่ได้ มาดูกันว่าปีศาจแดงต้องพบอะไรบ้างในศึกยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบแบ่งกลุ่มหนนี้

อาสตาน่า : คาซัคสถาน

                อาสตาน่า ตั้งอยู่ในเมืองหลวงประเทศคาซัคสถาน แม้จะก่อตั้งทีมได้เพียง 10 ปี แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกคาซัคสถานได้สำเร็จในปี 2018 ซึ่งใช้นักเตะส่วนใหญ่จากประเทศของตัวเอง อาสตาน่าเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยุโรปมาตลอดตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 โดยทำผลงานดีที่สุดด้วยการผ่านเข้าถึงรอบ 32 ทีมสุดท้ายเมื่อฤดูกาล 2017-18 ก่อนจะถูกสปอร์ตติ้ง ลิสบอนเขี่ยตกรอบไป ผู้เล่นที่น่าจับตามองคือ มาริน โทมาซอฟ ปีกชาวโครเอเชียดาวซัลโวประจำทีม

ปาร์ติซาน เบลเกรด : เซอร์เบีย

ปาร์ติซาน เบลเกรด ทีมจากเมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย และแชมป์บอลถ้วยของเซอร์เบียร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทีมขาประจำในศึกยูโรป้าลีก แต่ส่วนใหญ่มักจะไปได้ไม่ไกลกว่ารอบแบ่งกลุ่มนี้เอง มีเพียงฤดูกาล 2017-18 ที่สามารถผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายได้ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม C ก่อนจะพ่ายให้กับทีมจากสาธารณรัฐเช็กตกรอบไป ถ้าใครทีติดตามข่าวสารจาก VWIN เสมอ จะรู้ทันทีว่าผู้เล่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น โซรัน โทซิช อดีตนักเตะปีศาจแดงในช่วงปี 2009-2010 ปีกชาวเซอร์เบียมีทั้งเทคนิคและความเร็ว แต่ด้วยความที่มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขวางทางอยู่ เขาจึงอำลาทีมไปอย่างรวดเร็วเพื่อความต้องการลงสนามที่มากขึ้น

อาแซด อัลค์มาร์ : เนเธอร์แลนด์

อาแซด อัลค์มาร์ ทีมอับดับ 4 จากลีกดัตช์เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการกลับมาสู่ยูโรป้าลีกรอบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง หลังจากหายหน้าไปถึง 2 ฤดูกาล โดยหนสุดท้ายที่เข้ามาเล่นในฤดูกาล 2016-17 สามารถผ่านเข้าไปเจอลียงในรอบ 32 ทีมสุดท้าย ก่อนจะโดนถล่มทั้งสองนัด  ผู้เล่นที่น่าจับตามอง อุสซามา ไอดริสซี่ ปีกทีมชาติโมร็อคโค ที่ทำประตูในลีกดัตช์ไปแล้ว 3 ประตูจาก 4 นัดในปีนี้

เมื่อสถานการณ์ในเกมลีกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่สู้ดีนัก โซลชาน่าจะสั่งให้ลูกทีมเน้นเป็นพิเศษในฟุตบอลยุโรป เพราะแชมป์ยูโรป้าลีก ถือเป็นการการันตีเส้นทางสู่ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปีหน้าทันที เหมือนที่โชเซ่ มูรินโญ่ พาปีศาจแดงคว้าแชมป์ยุโรปใบเล็กนี้มาได้สำเร็จเมื่อ 3 ปีก่อน


“แฟรงค์ แลมพาร์ด” การกลับมาอีกครั้งยังเดอะบริดจ์

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผู้จัดการทีมของทีม “เชลซี” ในการออกสตาร์ทฤดูกาล 2019 นี้จะเป็นคนใกล้ตัวอย่าง “แฟรงค์ แลมพาร์ด” อดีตมิดฟิลด์ชาวอังกฤษ ผู้ที่เคยพาทัพสิงโตน้ำเงินครามกวาดถ้วยรางวัลทั้งในประเทศและนอกประเทศมาอย่างมากมาย การกลับมายังถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์ในครั้งนี้ของเขานั้นไม่ใช่ในฐานะนักเตะเหมือนดั่งวันวานแต่กลับมาในฐานะบิ๊กบอสผู้พร้อมจับเผือกร้อนในช่วงมรสุมของทีมที่ถูกแบนในตลาด ซื้อ-ขาย นักเตะถึง 2 ช่วงจากฟีฟ่า

ท่ามกลางความยินดีปรีดาจากแฟนบอลเชลซี ก็ยังคงมีความสงสัยจากใครต่อหลายคนตามมาด้วยว่าอดีตมิดฟิลด์ชาวอังกฤษรายนี้ จะมีความสามารถพอที่จะคุมทีมใหญ่ระดับนี้ได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาเขาเคยผ่านการเพียงคุมทีม “แกะเขาเหล็ก” ดาร์บี้เคาท์ตี้มาเพียงแค่ 1 ฤดูกาล (2018-2019) เท่านั้น การทำงานที่หนักขึ้นกว่าเดิมจึงเป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อพิสูจน์ตัวเขานั่นเอง

ทัพสิงโตน้ำเงินคราม ในยุคใหม่

เมื่อเชลซีถูกแบนในสารบบ ซื้อ-ขาย สิ่งเดียวที่ผู้จัดการทีมเจ้าของฉายา “ซุปเปอร์แฟรงค์” คือรวบรวมนักเตะที่มีอยู่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเสีย “เอแดน อาร์ซา” ปีกพ่อมดชาวเบลเยียมไปให้กับเรอัลมาดริด โดยผู้เล่นที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ คือ คริสเตียน พูลิซิช ปีกชาวสหรัฐอเมริกาผู้ถูกคาดหวังว่าจะมาเป็นความหวังใหม่ได้ในตำแหน่งปีก ส่วนผู้เล่นที่ถูกยืมไปอย่าง มิตชี่ บัตซูอายี่, เคิร์ท ซูม่า, เคเนดี้, ติมูเอ้ บากาโยโก้ ก็พร้อมกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ประกอบกับดาวรุ่งที่ถูกดึงกลับมาอย่าง เมสัน เมาท์, แทมมี่ อับราฮัม โดยเฉพาะในรายของเจ้าหนู เมสัน เมาท์ ที่เคยผ่านการเป็นลูกทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในฐานะผู้เล่นยืมตัวของทีม ดาร์บี้ เคาท์ตี้ ในฤดูกาลที่ผ่านมา

เหลือบมองกลับไปที่ผู้เล่นในกำมือที่ทัพสิงโตน้ำเงินครามมีอยู่แล้ว เช่น เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, รอสส์ บาร์คลี่ย์, เปโดร โรดิเกวซ, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, ดาวิด ลุยส์, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, มาเตโอ โควาซิช, เซซาร์ อัซปิลิเกวต้า, เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ที่ต่างก็ผู้เล่นระดับแนวหน้าอยู่แล้ว เมื่อมาผสมกับผู้เล่นหน้าใหม่กับผู้เล่นที่ถูกยืมตัวทางเลือกในแผนการจัดการทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด แฟนบอลก็คงสบายใจไปได้เปราะหนึ่งไม่มากก็น้อยแล้วอีกทั้งยังจะได้เห็นผู้เล่นดาวรุ่งหน้าใหม่ ๆ ของทีมได้แจ้งเกิดอีกด้วย

แผนการเล่นสไตล์ ซุปเปอร์แฟรงค์

หากใครเคยรับชมแผนการเล่นของทีม ดาร์บี้ เคาท์ตี้ในฝีมือการคุมทีมของ “ซุปเปอร์แฟรงค์” ฤดูกาลที่ผ่านมาคงจะเห็นว่า แผนที่เขาถนัดใช้คือแผน 4-2-3-1 ที่มีสไตล์เกมรุกที่รวดเร็วซึ่ง ก็คงจะได้นำมาใช้กับการคุมทีมเชลซีอย่างแน่นอนแต่ที่น่าสนใจ คือ เชลซีมีผู้เล่นระดับที่ดีกว่าและสามารถเล่นได้ในหลากหลายแผนการ ซึ่งนั่นก็อยู่ที่ผู้จัดการทีมแล้วว่าจะใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างไร แต่เชื่อได้ว่าเชลซีในกำมือของแลมพาร์ดจะสร้างเซอร์ไพรส์ต่อหน้าสายตาแฟนบอลในฤดูกาลนี้ด้วยเกมรุกที่ดุดันได้อย่างแน่นอน


ฟุตบอลไทย! “ความนิยมที่ก้าวสู่ระดับอาชีพ”

สำหรับประเทศไทยเชื่อได้เลยว่ากีฬาที่ได้รับความนิยมในอันดับต้น ๆ ย่อมมีกีฬา “ฟุตบอล” เป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน เห็นได้จากที่มีการผลักดันให้กีฬาฟุตบอลก้าวสู่การเป็นลีกกีฬาอาชีพที่ถูกต้องตามหลักสากลของสหพันธ์ฟุตบอลโลก (ฟีฟ่า) เมื่อฟุตบอลไทยกลายเป็นลีกระดับอาชีพแล้วทำให้จะต้องมีการจัดอันดับแบ่งระดับชั้นเพื่อเป็นการคัดกรองยอดทีมทั้งหลายเพื่อขึ้นสู่ลีกสูงสุดหรือที่เราเรียกกันว่า “ไทยลีก1” นั่นเอง นอกจากนั้นทีมที่จะลงเล่นยังลีกฟุตบอลอาชีพประเทศไทยได้จะต้องมีการจดทะเบียนรวมทั้งทำตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่าง ๆ ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯได้กำหนดเอาไว้

ฟุตบอลไทยกับความรักและความศรัทธาของกองเชียร์

สิ่งหนึ่งที่ควบคู่กับทีมฟุตบอลก็คงจะหนีไม่พ้นกองเชียร์ที่เป็นสีสันให้การแข่งขันนั้นดูตื่นเต้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ด้านความรักของกองเชียร์ฟุตบอลที่มีต่อทีมที่ตนเองรักนั้นเห็นได้จากการที่ไม่ว่าทีมที่ตนเองรักจะไปแข่งขันไกลถึงไหนขึ้นเหนือล่องใต้ก็ย่อมเห็นพวกเขาอยู่ในสนามคอยส่งเสียงเชียร์อย่างสุดกำลังเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักฟุตบอลที่สู้อยู่ในสนาม เปรียบเสมือนเป็น “ผู้เล่นคนที่12” ที่หนุนหลังพวกเขาไม่ว่าจะในวันที่ชนะหรือวันที่แพ้ก็ตาม

เมื่อเกิดความรักแล้วความศรัทธาย่อมตามมาจากกองเชียร์แปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว” สาเหตุหนึ่งมาจากการที่สโมสรฟุตบอลหลาย ๆ ทีมที่อยู่ในลีกกีฬาอาชีพฟุตบอลไทยมักจะเป็นทีมที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากทีมกีฬาของจังหวัด สิ่งนี้เองทำให้ความรักที่มีต่อภูมิลำเนาของผู้ที่เชียร์ส่งต่อมายังทีมฟุตบอลภายในจังหวัดอีกด้วย จึงเปรียบเสมือนทีมฟุตบอลที่เชียร์เป็นบ้านหลังที่ 2 ซึ่งไม่ว่าทีมที่เชียร์จะได้แชมป์หรือแย่ที่สุดคือตกชั้น พวกเขาก็จะยังคงเคียงข้างสโมสรของพวกเขาเสมอไปด้วยความศรัทธา

ก้าวต่อไปสู่ระดับโลกของวงการฟุตบอลไทย

หลังจากที่ลีกฟุตบอลไทยมีรากฐานที่มั่นคงแล้วทั้งด้านของ ลีก, สโมสร, นักเตะ, กองเชียร์ การได้รับการยอมรับจากระดับโลกจึงกลายเป็นสิ่งที่ตามมา ไม่ว่าจะในระดับทีมชาติหรือสโมสร เห็นได้จากการที่นักเตะทีมชาติไทยชื่อดังอย่าง “เมสซี่เจ” ชนาธิป สงกระสินธ์ ได้ไปค้าแข้งยังลีกฟุตบอลอาชีพประเทศญี่ปุ่นที่เป็นลีกระดับท็อปของโลก หรือแม้กระทั่งนักเตะชื่อดังหลายต่อหลายคนที่ย้ายมาเล่นยังสโมสรต่าง ๆ ภายในไทยลีก แสดงให้เห็นว่าทั้งตัวนักเตะและลีกฟุตบอลของประเทศไทยกลายเป็นที่ยอมรับของโลกแล้วนั่นเอง

แต่ก้าวต่อไปสู่ระดับโลกที่สำคัญสุดของวงการฟุตบอลไทยนั้น คือ การที่ทีมชาติไทย (ชาย) ได้ไปแข่งขันในรายการ “ฟุตบอลโลก” มหกรรมกีฬาลูกหนังสุดยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเมื่อมีรากฐานทุกอย่างและการสนับสนุนที่ดีแล้วการที่จะได้เห็นทีมชาติไทยได้ไปเล่นในฟุตบอลโลกก็คงจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป


ในยุคที่เศรษฐกิจไทยซบเซาเช่นนี้ ทางรอดของคนในสังคมคืออะไร

เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจ เรามักจะได้ยินคนบ่นกันมากมายว่าเศรษฐกิจแย่จัง ขายของไม่ดีเลย ค่าครองชีพสูง ชักหน้าไม่ถึงหลัง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสำหรับใครที่พอมีฐานะที่ดีในระดับหนึ่งแล้วก็คงจะไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร แต่เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าหรือคนหาเช้ากินค่ำมากกว่าคนรวย จึงเป็นปัญหาในประเทศที่ก่อให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการว่างงาน เนื่องจากเศรษฐกิจย่ำแย่ หลาย ๆ บริษัทจึงต้องปลดพนักงานออกเพื่อความอยู่รอด เกิดเป็นปัญหาความยากจนต่อมา จนถึงปัญหาให้มีอาชญากรรมเพิ่มขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปล้นชิงทรัพย์ หรือทำร้ายร่างกายกัน คนในยุคนี้จึงต้องอยู่กันด้วยความระแวง ระวัง ตัวใครตัวมัน ซึ่งนับว่าอยู่ยากขึ้นไปทุกวัน ๆ แล้วจะทำอย่างไรล่ะถึงจะมีทางรอด และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างสงบสุข วันนี้เรามีคำตอบ

ทางรอดของคนในสังคมยุคเศรษฐกิจย่ำแย่

1.อยู่แบบพอเพียง

การจะมีความสันติสุขได้ในการใช้ชีวิตเราต้องปรับที่ใจของตัวเองก่อน คือต้องรู้สถานะของตัวเอง ว่ามีรายได้เท่าไหร่ ปรับการใช้จ่ายให้เพียงพอกับรายได้ของตน ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้เราอยู่รอด หากมันไม่พอจริง ๆ ก็ต้องหารายได้เพิ่ม ขยันทำงานให้เพิ่มขึ้น

2.สร้างความอิ่มใจ

ในยุคที่เศรษฐกิจดีเราอาจเคยใช้จ่ายอุดมสมบูรณ์ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ในยุคเศรษฐกิจทรุดลงแบบนี้ เราจะต้องปรับตัวเองให้เป็นเหมือนแก้วน้ำใบเล็ก สามารถเติมน้ำน้อยได้เต็มแก้ว เปรียบเหมือนเราพึงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ มันเติมเต็มชีวิตเราให้มีความสุขได้แบบไม่รู้สึกขาดหรือกระหาย

3.ไม่หวังรวยทางลัด

อะไรก็ตามที่เป็นความเสี่ยงหรือความเสียหายของทรัพย์สินเราจะไม่ทำ เช่น หวังรวยทางลัด โดยการเล่นหวย เล่นการพนัน เล่นแชร์ เป็นต้น เพราะได้มาก็ต้องมีอันเสียไปมันเป็นสัจธรรมตายตัว อย่างที่เราเห็นว่าบางคนได้แล้วอยากได้อีก จนเอาบ้าน รถ ที่ดิน ไปเดิมพัน สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

4.รอจังหวะที่เหมาะสม

ระหว่างนี้เราก็ขยันทำงานหารายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัวไปก่อน จนกว่าจะมีเงินขึ้นมาบ้าง เราจึงค่อยมองหาช่องทางที่จะทำอะไรเพิ่มให้เงินมันงอกเงยขึ้นมาได้ หรือพูดอีกอย่างว่า รอคอยจังหวะและโอกาสที่ดีและเหมาะสมในการขยับขยายฐานะครอบครัวนั่นเอง

5.หลีกห่างคนพาล

ขึ้นชื่อว่าคนพาล ก็มักจะนำเรื่องเดือดร้อนกายใจมาให้ ดังนั้นการไม่คบมิตรชั่ว และหลีกห่างคนพาล จึงเป็นการสร้างเกราะป้องกันภัยที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว เราควรคบแต่กัลยาณมิตรที่จริงใจ ชักจูงให้กำลังใจ และแนะนำเราไปสู่หนทางที่ดี

และทั้งหมดนี้ก็เป็นทางอยู่รอดของพวกเราในยุคเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ ให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสงบสุข ขยันทำงานให้มีเงินทุนสักก้อน รอคอยจังหวะและโอกาสดี ๆ เพื่อขยับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นต่อไป


การเมืองไม่นิ่งเศรษฐกิจไทยก็โอนเอน เรื่องเกี่ยวเนื่องที่กระทบปากท้องของคนไทย

หลังผ่านการเลือกตั้งมาร่วมเดือนแล้ว ก็ยังดูเหมือนว่าประเทศไทยเราจะยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเมือง และมีการคาดการณ์กับความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้ไปต่าง ๆ นานา ยิ่งเรื่องการเมืองดูจะเป็นปัญหายืดเยื้อส่อเค้าว่าจะมีความไม่ลงรอยกันแบบนี้ยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในภาครวมของประเทศ และกระทบกับความเชื่อมั่นในการลงทุนทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ GDP ปีนี้จะลดลง

จากความวิตกในเรื่องการเมืองของไทยที่ยังไม่แน่นอน บวกกับปัญหาที่เป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจโลกจากต่างประเทศมากมาย อย่างเรื่องสงครามการค้าจีนกับสหรัฐอเมริกา ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในจีน ปัญหา Brexit ในอังกฤษที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ล้วนเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะทำอะไรในช่วงนี้ นั่นทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการของไทยจากหลายสำนักคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของไทยในปีนี้จะโตลดลงจาก 3.5-4.8% เหลือเพียงแค่ 3.5-4.0% เท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจต่างมองไปในทางเดียวกันว่า ปัจจัยใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยน่าจะชะลอตัวไปอีกสักระยะใหญ่ ๆ ก็คือ ปัจจัยภายในประเทศซึ่งนั่นก็คือ เรื่องการเมืองนั่นเอง การเมืองที่ไม่มีทางออกไม่มีความชัดเจนและดูเหมือนจะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพน่าจะสร้างความวิตกและไม่มั่นใจอย่างมากต่อการตัดสินใจในภาคการลงทุนต่าง ๆ การบริโภคของประชาชนในประเทศก็น่าจะมีแนวโน้มลดลงด้วย ซึ่งนั่นจะส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยยังคงซบเซาต่อไปอีกเป็นปีแน่นอน

หลายภาคส่วนคาดหวังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแก้ปัญหาปากท้องได้

ไม่ว่าภาคประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่างก็คาดหวังไปในทางเดียวกันว่า การเมืองจะมีทางออกได้ในเร็ววันและรัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ไขและปลดล็อกรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา สามารถที่จะนำมาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยและฟื้นเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องได้ในเร็ววัน มีกฎหมายหลายข้อน่าจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นและถกกันใหม่ อย่างเรื่องของการพนันออนไลน์ หวยออนไลน์ การทำให้การพนันเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อใช้ธุรกิจเหล่านี้เป็นช่องทางสร้างรายได้และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีคาสิโนออนไลน์เกิดขึ้นอยู่หลายแห่ง เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์แห่งหนึ่ง คือ VWIN ที่เปิดให้บริการรับพนันกีฬาออนไลน์ เป็นตัวอย่างที่ดีว่า สามารถดำเนินการได้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะมีนักพนันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปใช้บริการกันมาก สะท้อนให้เห็นว่า หากภาครัฐมีแนวนโยบายที่ดี และมีความเข้มงวดในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันมากว่าเดิม จริงจังกับเรื่องนี้ โอกาสที่จะทำให้ธุรกิจสีเทา หรือ ธุรกิจใต้ดิน ให้ขึ้นมาอยู่บนดินได้อย่างถูกกฎหมาย และสามารถใช้เป็นช่องทางสร้างรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ดี โดยไม่ต้องไปขูดรีดภาษีจากประชาชน

นี่จึงเป็นความหวังของคนไทยทั้งประเทศในขณะนี้ที่หวังว่า การเมืองของไทยจะไร้ซึ่งความขัดแย้ง หันหน้าเข้าหากันและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้ได้ เมื่อการเมืองมั่นคง การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะทำได้ง่าย การผ่านร่างกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศก็จะผ่านอย่างฉลุย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า ปัญหาการเมืองไทยจะคลี่คลายไปเมื่อไหร่ คนไทยจึงคงต้องอดทนรอกันต่อไป


วงการบันเทิงที่เปลี่ยนไปกับบทบาทใหม่ในสังคมไทย

เมื่อพูดถึงวงการบันเทิงในบ้านเรายุคปัจจุบัน ได้มีการเปิดกว้างเสรีมากขึ้น จากเก่าก่อนเราจะได้ดูรายการบันเทิงต่าง ๆ ผ่านทางทีวีของแต่ละช่อง ที่มีผลงานให้เราติดตามหรือชื่นชอบจากดารา นักแสดง นักร้อง ที่สังกัดทางช่องหรือทางค่ายเท่านั้น ซึ่งรายได้สำหรับคนที่ทำงานในวงการบันเทิงอย่างดารา นักแสดง นักร้อง นั้นดีมาก เพราะแบรนด์ต่าง ๆ สามารถทำการตลาดสร้างยอดขายที่ดีได้จากการลงโฆษณาทีวีคั่นรายการ โดยใช้นักร้องนักแสดงเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณาสินค้า ดังนั้นจะมีคนที่เด่นดังเพียงเฉพาะบางกลุ่ม ผิดกับยุคปัจจุบันที่วงการบันเทิงไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มดารานักร้องนักแสดงในทีวีเท่านั้น แต่การบันเทิงได้กระจายไปสู่ผู้คนให้ได้แสดงความรู้ ความสามารถ ความสนุก สร้างสีสัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ด้วยช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยูทูป อินสตราแกรม เฟสบุ๊คไลฟ์ โดยไม่ได้จำกัดรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ระดับการศึกษา แต่ประการใด แค่กล้าแสดงออก มีความเป็นธรรมชาติ และเป็นเอกลักษณ์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนมากมายให้ความสนใจเข้ามาชื่นชอบและกดติดตามกันเป็นแสนเป็นล้านคนทีเดียว เรียกว่าดังข้ามคืนกันเลย เพราะแท้จริงแล้วทุกคนก็เป็นทั้งผู้กำกับละครและนักแสดงในบทบาทชีวิตของตัวเองทั้งนั้น คนทุกคนในโลกที่เล่นโซเชียล มีโอกาสที่จะสร้างสีสันความบันเทิงด้วยกันได้ทั้งสิ้น แค่กล้าที่จะทำ

บทบาทของการบันเทิงที่มีต่อสังคมไทย

1.กระจายรายได้ให้กับคนในประเทศ

จากเดิมที่แบรนด์ต่าง ๆ จะทำการตลาดทางทีวี โดยจ้างพรีเซ็นเตอร์แพง ๆ ปัจจุบันได้เพิ่มรูปแบบ โดยการเข้ามาติดต่อทำการโฆษณา ทางโซเชียลที่นิยมกันอย่างช่อง ยูทูป โดยผ่านช่องของเราที่มีคนติดตามมาก ๆ และยูทูปก็จ่ายเงินให้กับเราค่าโฆษณาที่มีแบรนด์มาว่าจ้าง ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ที่กว้างขึ้นสู่ผู้คนภายในประเทศ

2.ได้สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมาย

เพราะในปัจุบัน นอกจากความบันเทิงแล้ว ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่มีความรู้ความชำนาญในสาขาอาชีพของตัวเอง ได้ออกมาแบ่งปันข้อมูลสาระ และความรู้ที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้คนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการสอนภาษา ความรู้ทางธุรกิจ แชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตต่าง ๆ การจะก้าวข้ามปัญหา เหล่านี้เป็นต้น

3.ผ่อนคลายความเครียด

สำหรับหลาย ๆ คนที่ทำงานเหนื่อย ก็อยากพักสมองโดยการดูรายการที่ผ่อนคลายสมอง เรียกเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้ม ก็สามารถดูได้สะดวกทางโซเชียลซึ่งมีหลากหลายความบันเทิงตามชอบ โดยไม่จำเป็นต้องดูเฉพาะทางทีวีที่จำกัดช่องเหมือนเก่า

 4.สร้างแรงบันดาลใจ

เนื่องจากคนไทยชอบตามกระแส ดังนั้นหากมีคนที่พวกเค้าชื่นชอบและติดตาม ได้ออกมาแชร์ถึงความยากลำบากที่เคยได้รับแล้วก้าวข้ามมันมาได้จนร่ำรวย ประสบความสำเร็จ ก็จะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างที่ดีขึ้นมาได้

และนี่จึงเป็นการบันเทิงรูปแบบใหม่ในบ้านเรา ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายครบวงจร ใครชื่นชอบแนวไหนก็จะไปติดตามคนในกลุ่มสาขานั้น ๆ ซึ่งหากนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของตนเองแล้วก็จะเป็นการเสพการบันเทิงอย่างมีคุณค่านั่นเอง


สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของประเทศไหน เราจะส่งออกสินค้าอะไร ที่สร้างยอดขายและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดี

อย่างที่รู้กันดีว่าในยุคที่มีความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยี การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจึงมีความสะดวก รวดเร็ว และคล่องตัว ไม่ว่าจะขนส่งทางอากาศ ทางน้ำ หรือทางบก รวมทั้งการติดต่อสื่อสารทำการค้ากันก็สะดวกมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลมาเจอตัวกันให้เสียเวลาเหมือนยุคก่อน ๆ  แค่มีการติดต่อสอบถามกันทางช่องทางเว็บไซต์หรือเว็บเพจก็ตกลงซื้อขายกันได้แล้ว จึงนับว่าไม่ใช่เรื่องยากหากเราคิดจะทำการค้าระหว่างประเทศ และการทำการตลาดนั้นก็ง่าย เพราะมีช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ไม่ว่าจะทางยูทูป กูเกิล หรือแม้แต่ไลฟ์สดทางเฟสบุ๊ค ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างไกลทั่วโลก

แต่ก่อนที่เราจะทำการค้าระหว่างประเทศนั้น เราจะต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ดีเสียก่อนว่า ประเทศไหนที่เค้าให้ความเชื่อถือและสนใจสินค้าจากประเทศไทย ยอดขายที่เป็นสถิติที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมาจากประเทศอะไร และสินค้าแบบไหนที่ชาวต่างชาติต้องการ รวมถึงเงินทุนที่เราจะใช้ในการทำธุรกิจ เพียงพอต่อการผลิตสินค้าส่งออกอย่างมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ซึ่งวันนี้เรามีข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำการค้าระหว่างประเทศมาฝากกัน สำหรับใครที่ยังไม่มีความรู้เบื้องต้นเลย และนี่ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะสร้างรายได้มหาศาลให้คุณจากการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

ประเทศที่ให้ความสนใจและต้องการสินค้าไทย ที่เราควรทำการค้าด้วย คือ ประเทศจีน

จีน เป็นประเทศที่มีกำลังในการผลิตสินค้าค่อนข้างสูง ประเทศต่าง ๆ ได้มาจ้างโรงงานจีนในการผลิตสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ออกมามากมายหลากหลายรูปแบบ แม้แต่ประเทศไทยเอง เพราะต้นทุนการผลิตที่จีนนั้นต่ำ เครื่องมือเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ถือเป็นเจ้าพ่อแห่งเทคโนโลยีในเอเชียเลย แต่ทำไมประเทศจีนยังคงต้องการสินค้าจากประเทศไทยล่ะ คำตอบคือ คนจีน มีความหลงใหลและชื่นชอบในความเป็นไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เค้าเชื่อว่าสินค้าไทยดีและมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป ในรูปของอาหารแช่แข็ง อาหารอบแห้ง อย่างผัดไทย ต้มยำกุ้ง ผลิตภัณฑ์จากยางพารา เช่น หมอน ที่นอน สมุนไพรไทย ทั้งยาหอม ยาบำรุงกำลัง และยาทาแก้ปวดเมื่อย ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก ดูได้จากยอดสถิติที่จีนซื้อสินค้าจากประเทศไทยไป มียอดเงินรวม 995,000 ล้านบาททีเดียว และมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ

ดังนั้นหากใครคิดจะส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ จีน จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุดตอนนี้ เพราะสินค้าไทยมีความเป็นไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นหากคุณจะเลือกส่งออกอะไร ก็ให้คำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคด้วยว่าพวกเค้าให้ความสนใจและชื่นชอบกับอะไรเป็นพิเศษ ที่สำคัญในปัจจุบันการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานนั้นก็ง่าย เพียงคุณไปจ้างโรงงานที่รับผลิตสินค้าส่งออก ซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจถึงคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และต้นทุนการผลิตก็ไม่ได้แพงมาก ทั้งนี้คุณควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งออกให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดหรือเสียหายใด ๆ ตามมาCategory: การค้าระหว่างประเทศ


ความภูมิใจของธุรกิจเกษตร กับผักออร์แกนิค ส่งมอบคุณค่าสู่ผู้บริโภค

เราจะเห็นว่าพืชผักผลไม้ที่เราบริโภคกันในยุคปัจจุบันนี้ มันมีสารพิษจากยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีต่าง ๆ จากปุ๋ยเจือปนมาด้วย เพราะในการทำการเกษตรเพื่อจำหน่ายสู่ท้องตลาดนั้นจำเป็นที่จะต้องมีผลผลิตที่ดี ทั้งความสวยงามความดกของพืชผัก ขนาดรูปลักษณ์ของผักผลไม้ที่ได้มาตรฐานและสีสันสดใสที่ชวนให้น่ารับประทาน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงได้ยากที่ชาวเกษตรกรจะไม่ใส่ปุ๋ยเคมี หรือฉีดยากำจัดวัชพืช หรือยาฆ่าแมลงในการทำการเกษตร เพราะพวกเค้าต้องการผลผลิตที่ดีที่สร้างรายได้สมกับที่ลงทุนลงแรงไป

ซึ่งวิวัฒนาการทางด้านการเกษตรในยุคสมัยใหม่ ก็ได้มีการค้นคว้าวิจัย พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน อย่างเช่น การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ที่กำลังเป็นที่นิยม ที่ไม่ต้องใช้ดินในการปลูก แต่ปลูกในน้ำที่ละลายธาตุสารอาหารต่าง ๆ ของพืช ให้พืชดูดซึมไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่หากไม่มีการควบคุมที่ดีจากเกษตรกร ก็จะมีสารไนเตรตที่สูงติดไปกับผักเมื่อไปรวมตัวกับสารอื่นในร่างกายเราแล้ว จะก็ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ จึงนับว่ายังไม่มีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ดังนั้นจึงได้มีการรณรงค์การปลูกผักแบบแนวเกษตรอินทรีย์ ที่ปราศจากสารเคมีขึ้นมา ที่เรียกว่า ออร์แกนิค (Organic) หนึ่งในความภูมิใจของชาวเกษตรกรร่วมกับสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ที่ได้ส่งมอบคุณค่า ผักปลอดสารพิษสู่ผู้บริโภค ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก ผักออร์แกนิค กันว่ามันเป็นอย่างไร

มารู้จักผักออร์แกนิคกัน

ผักออร์แกนิค คือ ผักเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกด้วยกระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมด ปราศจากการใช้สารเคมี ทั้งจากยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช หรือแม้แต่ปุ๋ยเคมีต่าง ๆ โดยเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมักแทน และใช้พืชผักจากธรรมชาติมาทำเป็นสารกำจัดวัชพืชแทน ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้ตั้งแต่กระบวนการเตรียมดินให้ปราศจากสารเคมีที่ตกค้างอยู่ในดินเป็นเวลาถึง 3 ปี จนถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ธรรมชาติทดแทนสารเคมีทั้งหมด จนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว ที่ต้องได้รับการรับรองจากองค์การตรวจสอบอิสระ Accredited ของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ที่ต้องทำการตรวจสอบผักเสียก่อนแล้วจึงประทับตราว่าผักนี้ปลอดภัยจากสารพิษและสารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนนำออกไปจำหน่ายสู่ผู้บริโภคต่อไป

และนี่จึงนับว่าเป็นความภูมิใจสำหรับวงการเกษตร ที่สามารถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค ที่สำคัญผู้คนทั่วโลกให้การตอบรับดีมาก ผักออร์แกนิคจึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เป็นธุรกิจการเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับชาวเกษตรกรไม่น้อย เพราะนอกจากความต้องการในประเทศไทยแล้วยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้อีก และสำหรับใครที่สนใจธุรกิจนี้ อยากปลูกผักออร์แกนิคดูก็เป็นการสร้างรายได้ที่ดีอีกช่องทางหนึ่ง ที่สำคัญได้อยู่กับธรรมชาติก็เป็นการใช้ชีวิตที่สงบสุขราบรื่นไปอีกแบบ


ถ้ามีเงินสักก้อนจะทำอะไรดี ที่ต่อยอดเงินและให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร

สำหรับใครหลาย ๆ คนที่พากเพียรอุตสาหะทำงานมาจนมีเงินเก็บได้สักก้อนแล้ว กำลังมองหาหนทางว่าจะไปทำอะไรดีที่จะต่อยอดเงินก้อนนี้ให้งอกเงยขึ้นมาได้ หากจะนำไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยก็ดีนะ มันไม่มีความเสี่ยงอะไร แต่ดอกเบี้ยที่ได้ก็น้อยนิด ซึ่งเชื่อว่า หลาย ๆ คนหาเงินมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก พอมาถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ก็อยากจะพัก ทำงานให้น้อยลง และให้เงินทำงานแทนเราบ้าง แต่จะมีหนทางใดล่ะ ที่จะต่อยอดเงินของเราที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร วันนี้เรามีช่องทางสร้างรายได้ให้เงินงอกเงยด้วยช่องทางต่าง ๆ นี้ โดยไม่มีความเสี่ยงใด ๆ อยากรู้แล้วใช่ไหม งั้นเราไปดูกันเลย

ช่องทางสร้างรายได้ให้เงินต่อเงินแบบไม่มีความเสี่ยง

ซื้อสลากออมสิน ซึ่งมันคือการออมเงินชนิดหนึ่ง เหมือนการฝากเงินประจำ ซึ่งได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารกำหนด แต่มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ได้ทุกเดือน ซึ่งสูงสุดรางวัลละ 10 ล้านบาท 3 รางวัล เรามีสิทธิ์ถูกรางวัลได้ 36 ครั้ง ซึ่งรางวัลจะออกทุกวันที่ 16 ของเดือน โดยสลากออมสินนั้น ทางธนาคารจำหน่ายแบบมีอายุ 3 ปี หน่วยละ 50 บาท และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา ก็จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกลับคืนมา การซื้อสลากออมสิน เหมาะกับผู้ที่ต้องการการลงทุนระยะยาว ต้องการความเสี่ยงต่ำ และเงินนั้นต้องเป็นเงินเย็น ไม่เดือดร้อนแบบต้องขายสลากออมสินหรือถอนเงินออกมาใช้ก่อนครบกำหนด 3 ปี ไม่เช่นนั้นแทนที่เราจะได้กำไร เรากลับต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารนั่นเอง

การซื้อขายสกุลเงิน เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่ดี เราสามารถนำเงินไทย ไปแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ มีความแข็งตัว อย่างสกุลเงินตรา นิวซีแลนด์-dollar, ออสเตรเลีย- dollar, สิงคโปร์-dollar สวิตเซอร์-franc สกุลยูโร ซึ่งเราสามารถทำกำไรได้ในทุกสัปดาห์เมื่อเกิดส่วนต่าง เช่น เราซื้อเงินสกุลนิวซีแลนด์ ตอนราคาต่ำสุดที่ราคา 21 บาท ใน 1 สัปดาห์ หากค่าเงินขยับขึ้นสูงสุดที่ 28 บาท เราก็นำไปแลกเงินไทยกลับมา ได้ส่วนต่างที่เป็นผลกำไรในแต่ละสัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็สามารถแปลงเงินก้อนนี้ของคุณให้เพิ่มทวีคูณขึ้นและเกิดความมั่นคงได้

ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการซื้อหรือเช่าอพาร์ทเม้นท์ที่มีทำเลใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว ให้ผู้อื่นเช่าต่อ เพื่อมีรายได้จากส่วนต่างของค่าเช่าในกรณีที่เราเช่าไม่ได้ซื้อ หรือถ้ามีเงินทุนมากหน่อยก็ลงทุนซื้อครั้งเดียวและมีรายได้ในระยะยาวไปเลย

และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคน ใครสนใจแบบไหนก็ลองนำช่องทางต่อเงินเหล่านี้ไปใช้กันดู ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลหรือปรึกษาผู้รู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงให้ละเอียดและเข้าใจถ่องแท้ก่อนที่จะลงมือทำ เพื่อจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของคุณ


ลงทุนแบบไหนในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ไม่เจ๊ง และมีความเสี่ยงน้อย

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุควิกฤติ ข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพสูง รายได้แต่ละเดือนแทบไม่พอกับรายจ่าย เกิดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม คนรวยก็รวยเอาแบบไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหน ส่วนคนจนก็จนแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแค่ค่าเลี้ยงชีพให้อยู่ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น ซึ่งปัญหานี้มีมานานมากและมันไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย

ดังนั้นการจะลงทุนทำธุรกิจอะไรคุณจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน ว่ากลุ่มผู้บริโภคของคุณคือใคร หากเป็นกลุ่มคนรวยมีฐานะคุณก็จะต้องสร้างแบรนด์ที่ดี น่าเชื่อถือ สร้างสินค้าที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกที่กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมจะควักเงินจ่าย แต่หากเป็นกลุ่มคนรากหญ้า สินค้าและบริการนั้นจะต้องจำเป็นจริง ๆ ที่พวกเค้าจะต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งในวันนี้เรามีแนวคิดในการทำธุรกิจให้เหมาะสมกับยุคเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

แนวคิดการลงทุนไม่ให้เจ๊งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้

1.เลือกกลุ่มผู้บริโภค

คุณต้องเลือกก่อนว่าต้องการขายสินค้าและบริการให้คนกลุ่มไหน คุณมีงบประมาณที่จะลงทุนเท่าไหร่  ที่เหมาะสมกับการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนั้นได้ เช่น คุณมีทุนอยู่ 30,000 คุณก็ต้องเลือกกลุ่มผู้บริโภคระดับรากหญ้าหรือปานกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าเค้าจะมาซื้อสินค้าและบริการของคุณ

2.วิเคราะห์และดูความต้องการของตลาด

 คุณต้องดูว่าตลาดผู้บริโภคนั้น ต้องการอะไรมากที่สุดในยุคเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ อะไรที่ยังคงขายได้ และจะไม่มีวันตกเทรนด์ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น คุณจะต้องวิเคราะห์มันออกมาให้เห็นภาพชัดเจน

3.มีความชำนาญในธุรกิจที่จะทำ หากคุณมีความชำนาญในธุรกิจที่คุณทำ ก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าและบริการของคุณได้ แต่หากคุณรักชอบที่จะทำแต่ยังไม่มีความชำนาญก็ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองจนมีความเป็นมืออาชีพเสียก่อนถึงจะเปิดธุรกิจ อย่ากระโดดไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดเด็ดขาด

4.ศึกษาข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจ ดูความคุ้มค่า คุณต้องศึกษาถึงต้นทุนทั้งหมดที่ต้องลงทุนในครั้งแรก ในแต่ละวันแต่ละเดือน ว่ามันคุ้มค่าไหมกับรายได้ที่คุณจะได้กลับมา

5.วางแผนธุรกิจในทุกขั้นตอน

ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้งที่ดี อาจทำแบบสอบถามคนระแวกนั้นว่าหากมีธุรกิจหรือร้านค้าแบบนี้มาเปิด พวกเค้าจะเข้าไปอุดหนุนไหม รูปแบบร้านค้าหรือออฟฟิศของเรา จะต้องดูดีและเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคของเรา

6.ทำการตลาดทุกช่องทาง

ไม่ว่าจะเป็นการแจกโบรชัวร์ การติดป้ายโฆษณา การโฆษณาทางออนไลน์ เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายที่ดีได้

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยในยุคเศรษฐกิจซบเซา และโอกาสที่จะเจ๊งก็ไม่มี หากคุณนำแนวคิดทั้งหมดนี้ไปใช้ ที่สำคัญจะทำธุรกิจอะไร ควรลงทุนด้วยแรง และสมอง ให้มากกว่าการลงทุนด้วยเงิน