คุณรู้จักอิสระภาพทางการเงินดีพอหรือยัง แนวคิดที่แตกต่างกันที่ทำให้สังคมมีคนจนและคนรวย

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงยังไม่รู้จักความหมายของคำว่าอิสระภาพทางการเงินกันดีพอ ซึ่งอิสระภาพทางการเงินที่มีความหมายแท้จริงนั้น ไม่ได้หมายถึงการมีเงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่หากคือการที่เรามีรายได้ที่มั่นคงในแต่ละเดือนที่สามารถดูแลชีวิตตนเองและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การมีสุขภาพที่ดี การได้ท่องเที่ยวพักผ่อน มีเวลาส่วนตัวและมีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุข หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุขนั่นเอง โดยที่เราไม่ต้องทำงานลำบากตรากตรำหามรุ่งหามค่ำจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามแบบที่ใจเราต้องการ และอิสระภาพทางการเงินส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดกับคนรวย เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีความเข้าใจในเรื่องของอิสระภาพทางการเงิน และมีแนวคิดที่แตกต่างจากคนจนโดยสิ้นเชิง ซึ่งเราจะพาคุณไปดูกันว่า คนจนกับคนรวยเค้าคิดต่างกันยังไง

แนวคิดที่แตกต่างของคนจนกับคนรวยแนวคิดคนจน คนจนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ใช้แรงงานแลกเงินให้มีรายได้มาในแต่ละวันแต่ละเดือน ก็ใช้ไปให้หมดในวันนั้นเดือนนั้น โดยไม่มีการออม และไม่มีการวางแผนทางการเงิน หนำซ้ำพอสินค้าต่าง ๆ มีการจัดโปรโมชั่น ให้ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ก็จะรีบไปจับจองสินค้านั้นทันที โดยลืมคำนวนรายได้ในแต่ละเดือนว่าจะพอกับรายจ่ายหรือไม่ ยิ่งพอสถาบันทางการเงินออกบัตรเครดิตให้ ก็รีบกู้กันมาใช้จ่ายอย่างสบายใจ จนลืมคำนึงถึงดอกเบี้ยและภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น จนทำให้ในแต่ละเดือนไม่มีเงินออม เผลอ ๆ จะไม่พอค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นมาอีก จึงทำให้คนกลุ่มนี้ต้องประสบกับปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบจนเสียประวัติ และคนกลุ่มนี้ก็มักจะมีวงจรเดิม ๆ เช่นนี้ไปตลอดไม่สามารถสร้างฐานะให้ดีขึ้นมาได้ หากไม่เปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่

แนวคิดคนรวย คนรวยคิดต่างจากคนจนตรงที่พวกเค้ามีการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ ตั้งแต่การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย มีการเก็บออม และนำรายได้ที่มีไปขยายกิจการเพื่อต่อยอดเงินให้เพิ่มขึ้นจากเดิม และพวกเค้าจะทำงานหนักเพียงช่วงแรกหลังจากนั้นก็จะให้เงินทำงานแทน เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว พักผ่อน ท่องเที่ยว ได้อย่างมีความสุข ผิดกับคนจนที่ยังคงทำงานหนักแลกเงินเพื่อเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ยกตัวอย่างคนรวยที่ให้เงินทำงานแทน เช่น การสร้างคอนโด อพาตเมนท์ให้คนเช่า เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าแค่แนวความคิดที่แตกต่างก็สามารถมีผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตและฐานะของคนเรา ดังนั้นถ้าวันนี้คุณอยากมีอิสระภาพทางการเงิน ก็ควรนำแนวคิดแบบคนรวยมาใช้ และทิ้งนิสัยเดิม ๆ ที่เคยใช้จ่ายเกินตัวจนมีภาระหนี้สินมากมาย เริ่มมีการวางแผนการเงินที่ดี เท่านี้ก็จะทำให้คุณพบกับอิสระทางการเงินได้อย่างแน่นอน


คนไทยฝืนกระแสในยุคตายผ่อนส่ง กับสูตรอาหารล้างลำไส้และระบบดูดซึมของร่างกายให้สะอาด

ในยุคปัจจุบันนี้ คนไทยต้องเจอกับปัญหามลภาวะ ฝุ่นควัน และท่อไอเสีย จากรถ จากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ร้ายที่สุดกว่านั้น อาหารการกินของเรา ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ล้วนเจือปนมาด้วยสารพิษจากยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อ หรือฟอร์มารีน เอาง่าย ๆ ว่าในสังคมยุคปัจจุบันนี้เราไม่มีทางเลือกมากในการใช้ชีวิตเลย หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเรากำลังอยู่ในยุคตายผ่อนส่งก็เป็นได้

สาเหตุหลักของโรคภัยไข้เจ็บ

โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกายคนเรา ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะความเครียด และการไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงเรื่องอาหารการกินซึ่งเป็นสาเหตุหลัก คนไทยในยุคปัจจุบันไม่ค่อยได้ใส่ใจในเรื่องอาหารการกินของตัวเองเท่าที่ควร เนื่องจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่ต้องอยู่ในชั่วโมงเร่งรีบ หรือบางกลุ่มจะเน้นทานอาหารที่ตนเองชอบและมีรสชาติอร่อยถูกปากเท่านั้น จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ชอบกินขนมนมเนย ของทอด ๆ มัน ๆ ที่รับวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติอื่น ๆ เข้ามา เช่น พิซซา แฮมเบอร์เกอร์ เป็นต้น ไม่ค่อยกินผักผลไม้ และกินอาหารพื้นบ้านของคนไทยในยุคดั้งเดิม เช่น ข้าวไม่ขัดสี กินกับผักสด และน้ำพริกปลาย่าง เริ่มหมดไป จะเห็นว่าคนไทยสมัยก่อนแข็งแรงไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บ ผิดกับยุคปัจจุบัน ที่คนไทยป่วยเป็นโรคภูมิแพ้  ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เบาหวาน และมะเร็งอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว

อาหารแนวธรรมชาติบำบัด

อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้คิดค้นสูตรอาหารที่ช่วยในเรื่องของการล้างลำไส้และระบบดูดซึมในร่างกายคนเราขึ้นมา เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ชอบกินอาหารทอด ๆ มัน ๆ รวมถึงกินอาหารที่เจือปนด้วยสารพิษเข้าไปเป็นประจำ เพื่อช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และมีสุขภาพที่ดี มีอายุยืนยาวขึ้นได้ ซึ่งสูตรในการล้างระบบดูดซึมในร่างกายมีดังนี้

สูตร โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว

สูตรนี้ได้ถอดแบบออกมาจากพระไตรปิฏกในสมัยพุทธกาล ที่มีการนำ เนยข้น+เนยใส+น้ำอ้อย+น้ำผึ้ง มาใช้ในการรักษาโรค บำรุงร่างกาย ซึ่งในยุคปัจจุบัน สูตรนี้ มีสรรพคุณ ใช้ในการล้างสารพิษ ไขมัน และขยะในลำไส้ที่เกิดจากการกินของทอดมัน ๆ และเจือปนสารพิษเข้าไป ทำให้ลำไส้สะอาด ระบบดูดซึมทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสมอง ลดความอ้วนและทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย

จะเห็นว่าสูตรนี้ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย ดังนั้นแค่เราทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินกันสักนิด และด้วยไลฟ์สไตล์ชีวิตในยุคปัจจุบัน เราเลี่ยงอาหารตามสั่งตามร้านค้าทั่วไปไม่ได้ เราก็ควรมีการล้างลำไส้ด้วยสูตรธรรมชาตินี้เป็นประจำ เพื่อที่ร่างกายจะได้สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาวสวนกระแสในยุคตายผ่อนส่งนี้ต่อไป

Category : อาหาร

Tag: อาหารแนวธรรมชาติ, สูตรล้างระบบดูดซึม, อาหารล้างลำไส้

เครดิตภาพ:  https://pixabay.com/th/%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%84%E0%B9%8A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-1905733/


ยุคสมัยที่ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามา แต่ทำไมเศรษฐกิจไทยกลับย่ำแย่ลง

อย่างที่รู้กันดีว่า ยุคนี้คือยุคของความเจริญก้าวล้ำสมัยทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในสังคมไทย สร้างความสะดวกสะบาย ความรวดเร็ว ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ที่มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ การติดต่อสื่อสาร ที่สามารถเห็นหน้ากันได้แม้จะอยู่ไกลถึงต่างประเทศ การเดินทางทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือเครื่องบิน  การทำธุรกิจที่สามารถประชุมกลุ่มกันได้ทางโทรศัพท์ รวมถึงความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด และสัญญานเตือนกันขโมย เหล่านี้วัดถึงความเจริญทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างเด่นชัดจากยุคเก่าก่อนที่การเดินทางแสนยากลำบาก รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ไม่ได้รับความสะดวกอย่างในยุคปัจจุบัน แต่คำถามคือ ทำไมเมื่อความทันสมัยเข้ามาเยือน เศรษฐกิจในสังคมไทยกลับแย่ลงและไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นมาเลย

ปัญหาเศรษฐกิจไทยในยุคปัจจุบัน

ความเจริญทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นมันก็เหมือนกระจกสองด้าน ด้านหนึ่งสร้างความสะดวกสบายต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบโดยตรงให้ประชากรในประเทศไทยมีค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้จากภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับรัฐที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อค่าครองชีพสูง ประชากรในระดับรากหญ้าจนถึงระดับปานกลาง ก็ต้องมีการประหยัดค่าใช้จ่ายในการกิน การท่องเที่ยว และการบันเทิงด้านต่าง ๆ ลง ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมถึงการซื้อขายในประเทศ การเดินทาง ธุรกิจการบันเทิง จึงดูซบเซาแบบไม่มีวี่แววจะขยับตัวขึ้นเลย และที่สำคัญ ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น จนถึงปัญหาด้านภัยธรรมชาติและข่าวอาชญากรรมในเมืองไทย ทำให้ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนทำธุรกิจหรือท่องเที่ยวในประเทศไทยดังเช่นยุคก่อนๆ เงินในประเทศจึงไม่สะพัด จะเห็นได้ว่าประชากรไทยประสบปัญหาความยากจนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรากหญ้าอย่างกรรมกร และเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นที่น่าสลดใจ ว่าเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทันสมัยในเมืองไทยนั้น มันตอบโจทย์ประชากรไทยในระดับคนที่มีฐานะพอมีจนถึงคนที่ร่ำรวยมากกว่าจะมาช่วยเหลือคนจนระดับล่าง ที่ยังคงประสบปัญหาความยากลำบากเช่นเดิม

แนวทางแก้ปัญหา

จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักนั้นมาจาก บุคลากรในประเทศ เทคโนโลยีที่ทันสมัยจะไม่เกิดการใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 100% ถ้ามันยังคงได้ถูกนำมาใช้เพียงประชากรในบางกลุ่ม บางพวกเท่านั้น ดังนั้นเทคโนโลยีก็ต้องพัฒนาให้ควบคู่กับการพัฒนาคน ในด้านการศึกษา ให้ประชากรกลุ่มที่ด้อยโอกาสได้มีความรู้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และขณะเดียวกัน ผู้นำองค์กรต่าง ๆ ก็ควรมีจรรยาบรรณในอาชีพของตัวเอง รวมถึงจริยธรรม ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆด้านทีเดียว

จะเห็นได้ว่าความเจริญก้าวล้ำทางด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ดี และมันจะเกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพเต็มร้อย ถ้าบุคลากรในประเทศได้ถูกพัฒนาควบคู่ไปด้วยทั้งในด้านของการศึกษาและจริยธรรม จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นได้ เพราะปัญหาต่างๆในประเทศล้วนเกิดจากคนทั้งนั้น ดังนั้นคนที่ไม่มีความรู้ก็ต้องเรียนรู้ คนที่มีการศึกษาสูงมีตำแหน่งหน้าที่ดี ๆ ก็ต้องปลูกฝังในเรื่องศีลธรรม เพราะเมื่อประชากรในประเทศเจริญแล้วประเทศชาติก็จะเจริญตามอย่างแน่นอน


ชาวนา กระดูกสันหลังของชาติ เหตุใดสังคมไทยละเลย ต้องประสบปัญหาความยากจนมายาวนาน

อาชีพชาวนาที่สังคมไทยในยุคเก่าก่อนได้ยกย่องให้เป็นอาชีพที่มีเกรียติ มีความสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ของประเทศชาติ เปรียบชาวนาเป็นดั่งกระดูกสันหลังของชาติ แต่เหตุใดวันนี้ ชาวนามากมายหลายครัวเรือนจึงถูกสังคมไทยละเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอย่างมาก ที่ชาวนาส่วนใหญ่ต้องประสบปัญหาความยากจนต่อเนื่องอย่างยาวนาน โดยไม่ได้มีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังสักที ทั้ง ๆ ที่ชาวนาต้องทำงานตรากตรำ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส แต่กลับได้ผลตอบแทนที่มีรายได้ขาดทุนในทุก ๆ ปี จึงทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ประสบกับปัญหาหนี้สินต่อ จนต้องโดนยึดที่นา ยึดบ้านช่อง ก็มีให้เห็นกันมากมายตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ในสังคมไทยปัจุบันนี้ หนำซ้ำปัญหาที่ต่อเนื่องกันจากพ่อสู่ลูก ลูกสู่หลาน เนื่องจากปัญหาความยากจน จึงต้องใช้ชีวิตอยู่กันแบบแล้งแค้น ในยะถาชีวิตแบบเดิม ๆ ซึ่งผิดกับชาวนาในประเทศอื่น ๆ ทางฝั่งยุโรปและอเมริกา ที่มีคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดี ผิดกับชาวนาในบ้านเราอย่างมากทีเดียว และถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาช่วยเหลือแก้ปัญหาความยากจนนี้อย่างจริงจัง แน่นอน ปัญหาชาวนาถูกสังคมไทยมองข้ามและละเลยจะไม่มีวันหมดไปจากประเทศชาติอย่างแน่นอน

เหตุใดชาวนาในประเทศไทยจึงยากจน

เกิดจากชาวนาส่วนใหญ่มีความรู้น้อย ไม่สามารถจำหน่ายข้าวสู่ผู้บริโภคโดยตรง จึงต้องนำข้าวไปขายให้กับโรงสี ที่รับซื้อหรือพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ทำให้ไม่มีทางเลือกทางการค้าที่ดีต่อตนเอง ซึ่งกลไกการตลาดข้าวนั้น ชาวนาเป็นผู้ลงทุนในการปลูกข้าวมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย กว่าจะได้ข้าวไปขายให้กับโรงสี ซึ่งทำการขัดสีข้าวแล้วไปขายให้กับโรงงานผู้จำหน่ายข้าวทั้งส่งออกหรือจำหน่ายในประเทศต่อไป  โดยราคาข้าวถูกกำหนดจากพ่อค้าคนกลาง ชาวนาไม่สามารถตั้งราคาได้เอง จึงทำให้ขายข้าวขาดทุนในทุก ๆ ปี เพราะต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง  และสาเหตุเหล่านี้นี่เอง จึงทำให้ชาวนามีฐานะความเป็นอยู่ที่แล้งแค้นในสังคมยุคปัจจุบัน

แนวทางช่วยเหลือชาวนา

รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาความยากจนของชาวนาอย่างจริงจังและจริงใจโดยการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาให้ความรู้ และคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือชาวนา รวมถึงดูแลไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนา ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน ให้ความรู้ความสามารถ และโอกาสที่ดีในด้านต่าง ๆ ให้สวัสดิการกับชาวนา รวมถึงลูกหลานของชาวนา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาได้

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนควรมีสามัญสำนึกในอาชีพที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ควรยกย่องให้เกรียติอาชีพชาวนา ลองนึกดูว่าถ้าไม่มีอาชีพชาวนาเลย เพราะไม่มีใครอยากยากจนประเทศชาติจะเป็นอย่างไร และรัฐบาลเองก็ควรมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวนานี้อย่างจริงจัง ให้ชาวนาหลายล้านครัวเรือนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


ภาครัฐทั่วเอเชียหนุนหนุ่มสาวปั๊มลูกเร่งแก้ปัญหาประชากรลดลงในระยะยาว

การลดจำนวนลงของประชากรนั้นดูเหมือนจะเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของผู้นำในหลาย ๆ ประเทศ จนต้องออกนโยบายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนวัยหนุ่มสาวรีบแต่งงาน และมีลูกเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีได้ การลดลงของจำนวนการเกิดของเด็กในประเทศนั้นส่งผลต่อความไม่สมดุลกันระหว่างประชาชนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และจำนวนเด็กที่ลดลงอย่างน่าใจหาย เป็นผลให้เกิดความกังวลเรื่องการจ้างงานในอนาคตจนเกิดภาวะการขาดแคลนแรงงานเพื่อพัฒนาประเทศได้ในที่สุด

โดยหลายประเทศ โดยเฉพาะในทวีปเอเชียเกิดปัญหานี้ขึ้น โดยเฉพาะในประเทศมหาอำนาจอย่างจีน จากเดิมรัฐบาลจีนได้กำหนดโควต้าให้ทุกครอบครัวสามารถมีบุตรเพื่อสืบเชื้อสายได้เพียง 1 คนเท่านั้น การประกาศนโยบายนี้ก็เพื่อลดจำนวนประชากรจีนที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่จากสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น และการลดลงของจำนวนคู่แต่งงานตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้จำนวนการเกิดใหม่ของประชากรลดน้อยลง ส่งผลให้รัฐบาลจีนต้องออกประกาศใหม่อีกครั้งเรื่องการกำหนดโควต้าเด็กให้เพิ่มจากครอบครัวละ 1 คน เป็นครอบครัวละ 2 คน เพื่อแก้ปัญหาของจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการเกิดน้อยลง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นสังคมของคนทำงานหนักประกอบกับชายหญิงส่วนใหญ่ถึงแม้ว่ามีความต้องการใช้ชีวิตคู่แต่ยังคงหวงชีวิตอิสระ ทำให้ประชากรวัยหนุ่มสาวส่วนมากนิยมอยู่ตามลำพัง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเกิดความกังวลว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าประชากรญี่ปุ่นจะน้อยลงแต่มีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นเป็นเท่าตัว ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุล และอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องได้รับการเยียวยาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นรัฐบาลจึงออกประกาศลดเวลาการทำงานของประชาชนลง เพื่อให้มีเวลาอยู่กับคนรักและครอบครัวมากขึ้น

สำหรับประเทศไทยเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน เนื่องจากจำนวนคนชราสูงขึ้นแต่จำนวนเด็กเกิดใหม่กลับลดลง รัฐจึงเห็นว่าถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปสังคมไทยต้องกลายเป็นสังคมคนชรา โดยประชาชนวัยแรงงานต้องแบกรับภาระการเลี้ยงดูผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจึงออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่มีบุตรคนแรกจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 30,000 บาทต่อปี และลดหย่อนภาษีอีก 60,000 บาทต่อปี สำหรับบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนไทยวัยทำงานมีความต้องการมีบุตรเพิ่มขึ้น

อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในประเทศต้องเกิดปัญหา เช่น การปิดตัวลงของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย การยุบชั้นเรียนและนำนักเรียนมาเรียนรวมกัน รวมถึงการว่างงานของบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กโดยเฉพาะครูอนุบาล หรือแม้กระทั่งจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นจากสภาวะขาดแคลนแรงงาน และอีกหลายปัญหาที่คาดว่าจะตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีหรือช่วยเรื่องการศึกษาจากภาครัฐให้ประชาชนได้เห็นข้อดีของการมีบุตรนั้นเป็นเรื่องดี เพื่อลดความกังวลจากคนวัยหนุ่มสาวเรื่องความกลัวต่อความยากลำบากที่จะเกิดกับลูกในอนาคต

 


ชาวกรุงอยู่ไม่ไหว รถไฟฟ้าทำรถติดรอบกรุง 3 ปี ซ้ำทางด่วนจ่อขึ้นราคากันยานี้

ชาวกรุงเทพมหานครและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงต่างพากันบ่นอุบเป็นเสียงเดียวกันว่าเบื่อ และเหนื่อยกับการเดินทางในแต่ละวัน ที่ต้องเผชิญกับภาวะรถติดที่เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนซึ่งทางกรมอุตุนิยมวิทยายังคาดการณ์อีกว่าอาจมีน้ำเหนือไหลลงมาท่วมขังในบริเวณที่ลุ่มของกรุงเทพมหานครช่วง 2 – 3 เดือนหลังจากนี้ นอกจากนี้ชาวกรุงเทพและบริเวณใกล้เคียงยังต้องเผชิญกับปัญหารถติดจากการระดมสร้างรถไฟฟ้าอีกหลายสายในคราวเดียว คาดว่าจะแล้วเสร็จอีก 4 – 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งทางด่วนเตรียมขึ้นราคาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เรียกว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดชาวกรุงกันเลยทีเดียว

จากการแถลงแผนงานการสร้างรถไฟฟ้าของประเทศไทยทำให้ทราบว่าจะมีการสร้างเส้นทางการเดินรถอีก 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม สายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งแต่ละสายนั้นจะถูกสร้างให้ครอบคลุมทั้งกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในเขตปริมณฑลบางส่วน ได้แก่ นนทบุรีและสมุทรปราการ โดยสายส้มจะมีการสร้างทั้งหมด 17 สถานี เริ่มตั้งแต่สถานีศูนย์วัฒนธรรมไปจนถึงสถานีสุวิทวงศ์ ส่วนสายสีชมพูมีทั้งหมด 30 สถานี เริ่มที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี และสุดสายที่สถานีมีนบุรี ใกล้แยกร่มเกล้า สำหรับสายสุดท้ายคือสายสีชมพูจะอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการมีจำนวนทั้งหมด 23 สถานี เริ่มจากสถานีรัชดา ทอดยาวไปถึงสถานีสุดท้ายคือสถานีสำโรง ซึ่งตามรายงานระบุว่ารถไฟฟ้าทุกสายจะแล้วเสร็จในปี 2566 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ส่งผลให้คนกรุงเทพและคนในพื้นที่ก่อสร้างต้องหาเส้นทางใหม่ หรือวางแผนการเดินทางหรือใช้บริการทางด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลารถติด

แต่ดูเหมือนว่าคนกรุงกำลังจะหนีเสือเพื่อปะจระเข้ เนื่องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยแจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2561 เป็นต้นไปจะปรับขึ้นค่าผ่านทางอีก 5 บาท  สำหรับทางพิเศษ 2 เส้นทาง คือทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมได้ระบุว่าการขึ้นค่าผ่านทางครั้งนี้เนื่องมาจากการทำสัญญาระหว่างรัฐและบริษัทเอกชนผู้มีส่วนในผลประโยชน์ ดังนั้นรัฐจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เป็นผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ความยุ่งยากในชีวิตของคนกรุงที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้ ส่งผลให้การวางแผนสำหรับการเดินทางประจำวันจำเป็นต้องรัดกุม สำหรับใครที่ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ก็ต้องออกให้เช้ากว่าเดิมเพื่อความมั่นใจว่าจะไปถึงที่หมายให้ทันเวลา ถึงแม้หลายคนจะรู้สึกเหนื่อย และท้อกับการใช้ชีวิตประจำวันในเมืองใหญ่แต่การยอมรับ และปรับตัวเพื่อรับกับสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำและหลีกเลี่ยงไม่ได้

 


ความย้อนแย้ง รัฐนำร่องรณรงค์งดสูบบุหรี่แต่ทุ่มงบกว่า 4,000 ล้าน ขยายฐานการผลิตบุหรี่

                ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสูบบุหรี่นั้นส่งผลร้ายมากกว่าผลดีต่อสุขภาพของผู้สูบและคนใกล้ชิด ซึ่งโทษของบุหรี่มีหลายประการ เช่น

  1. ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดส่วนที่ไปเลี้ยงสมองตีบ ตัน และแตก ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพของสมองจะเสื่อมเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ และจะมีระบบการทำงานของสมองที่แก่กว่าอายุจริงถึง 10 ปี
  2. เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด อาการเริ่มจากไอเรื้อรัง หายใจติดขัด หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง และพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งปอดซึ่งเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้น ๆ โดยผู้ป่วยร้อยละ 90 จะเสียชีวิตภายใน 1-2 ปีหลังจากทราบว่าตนเป็นโรคนี้
  3. นิโคตินในบุหรี่จะไปทำลายกล้ามเนื้อในกระเพาะปัสสาวะทำให้อ่อนตัวและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

จากโทษที่ยกตัวอย่างในข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ ผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ เป็นผลให้เกิดการรณรงค์ทั้งจากภาครัฐและเอกชนกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปีนั้น เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก โดยในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2561 ในประเด็น “ รักษ์หัวใจ ห่างไกลบุหรี่ ” เพื่อให้ประชาชนเกิดความรอบรู้ถึงอันตรายของบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ  จากรายงานการสำรวจล่าสุดปี 2560 พบว่าประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป มีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเป้าหมายในการทำงานจึงมุ่งเน้นรณรงค์ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี เพื่อลดจำนวนนักสูบหน้าใหม่

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า บุหรี่สร้างรายได้มหาศาลให้กับภาครัฐบาลและประเทศ ด้วยการจัดเก็บภาษียาสูบ ซึ่งในแต่ละปีนั้นรายได้จากภาษีเหล่านี้เป็นรายได้ที่สามารถนำมาพัฒนาประเทศในหลาย ๆ ด้าน แต่ด้วยจำนวนผู้สูบที่ลดลงในปีที่ผ่านมาทำให้รัฐเริ่มเกิดภาวะสั่นคลอนด้านการเก็บภาษีจากยาสูบ เป็นผลให้กระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการยาสูบแห่งประเทศไทยต้องทุ่มงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาทเพื่อสร้างฐานการผลิตบุหรี่ขนาดใหญ่ โดยการลงทุนนำเข้าเทคโนโลยีที่มีคุณภาพพร้อมผลิตบุหรี่ในปริมาณมาก ๆ เพื่อรองรับการเปิดตลาดแห่งใหม่ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ

จากข้อมูลดังกล่าวดูจะสวนทางกับการรณรงค์งดสูบบุหรี่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตเรื่องความจริงใจของรัฐบาลต่อการรณรงค์ให้ประชาชนระดับเยาวชนลด ละ เลิกสูบบุหรี่ เพื่อลดการเพิ่มจำนวนของนักสูบหน้าใหม่ เพราะการเพิ่มปริมาณบุหรี่ที่มากขึ้น ในอนาคต อาจทำให้เยาวชนไทยกลายเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีการสูบบุหรี่กันอย่างกว้างขวางเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกก็เป็นได้

 


เลิกตามกระแสแบบผิด ๆ ไข่ดิบดองน้ำปลาพบโทษมากกว่าประโยชน์แนะกินสุกดีกว่า

เชื่อว่าหลายคนชอบรับประทานไข่เนื่องจากไข่มีรสชาติอร่อย และมีสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ไข่กลายเป็นเมนูหลักประจำบ้านของหลาย ๆ ครอบครัว การรับประทานไข่เป็นประจำให้เหมาะสมกับช่วงวัยของแต่ละคนนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็กไปจนถึงวัยรุ่นสามารถทานไข่ได้ถึงวันละ 1 ฟอง ส่วนคนวัยทำงานการทานไข่สัปดาห์ละ 3 – 4 ฟองถือว่ากำลังดี แต่ในคนวัยชรานั้นไม่ควรทานไข่เกินสัปดาห์ละ 2 ฟอง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อไขมันและระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

เป็นที่ทราบกันดีว่าไข่ฟองเล็ก ๆ นั้นมีประโยชน์มากมายถ้าทานในปริมาณที่พอเหมาะ และที่สำคัญต้องปรุงให้สุก 100% ซึ่งประโยชน์ของไข่มีดังนี้ ช่วยบำรุงสมองทำให้มีความจำดีขึ้น การรับประทานไข่ไก่สามารถช่วยเรื่องการลดน้ำหนักได้เพราะทำให้อิ่มนานและไม่หิวบ่อย ไข่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเนื่องจากมีโปรตีนสูงซึ่งเหมาะกับทุกคน นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมจากการถูกทำลายด้วยแสงยูวี และที่สำคัญไข่เป็นแหล่งอาหารที่มีราคาถูก

สำหรับต่างประเทศไข่เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน ซึ่งแต่ละประเทศนั้นจะมีเมนูไข่ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะนำมาต้ม นึ่ง ทอด หรือแม้กระทั่งรับประทานแบบดิบ ๆ โดยเมนูไข่ดิบนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น วิธีการรับประทานก็ง่ายดายมาก ๆ เพียงแค่ตอกไข่ดิบใส่ข้าวร้อน ๆ ทานกับโชยุหรือซอสญี่ปุ่นเพียงแค่เมนูง่าย ๆ เช่นนี้ก็สามารถเป็นเมนูอันเลิศรสสำหรับชาวญี่ปุ่นได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าไข่ที่จะนำมารับประทานแบบดิบ ๆ จะต้องเป็นไข่ไก่สดเท่านั้น

ความนิยมทานไข่ดิบในเมืองไทยก็มีเช่นกัน แต่จะอยู่ในเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากการความกังวลเรื่องความสะอาดทำให้เมนูไข่ดิบไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนทั่วไป แต่มีกระแสเมื่อไม่นานมานี้เรื่องการนำไข่ดิบมารับประทาน โดยได้มีการส่งต่อผ่านโลกโซเชียลเรื่องการทำเมนูไข่ดิบดองน้ำปลา ซึ่งวิธีการก็ง่าย ๆ โดยการต้มซีอิ๊วหรือน้ำปลาเจือจางกับน้ำ แล้วนำน้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทรายใส่ลงไปตามด้วยน้ำส้มสายชูนิดหน่อย ปรุงรสตามชอบ จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำเฉพาะไข่แดงลงไปแช่ทิ้งไว้ 1 คืนในตู้เย็นก็นำมาทานได้ วิธีการทำง่าย ๆ เช่นนี้ ทำให้วัยรุ่นไทยนิยมทำรับประทานกันอย่างกว้างขวาง จนหลายหน่วยงานด้านสุขภาพต้องออกมาแสดงความเป็นห่วง

เนื่องจากไข่ดิบมีโปรตีนชนิดปฏิชีวนะเป็นส่วนประกอบ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะไปขัดขวางการทำงานของวิตามินหลายชนิดทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซับวิตามินได้ นอกจากนี้การรับประทานไข่ดิบยังส่งผลให้เกิดภาวะท้องร่วงได้ ดังนั้นการรับประทานไข่ที่ดีที่สุดคือ นำมาปรุงให้สุกเสียก่อนเพื่อสุขอนามัยที่ดี

 


ลืมเด็กไว้ในรถ อุบัติเหตุสุดเศร้าจากความประมาทจนคร่าชีวิตลูกน้อยแนะออกแบบเทคโนโลยีป้องกัน

                ปฏิเสธไม่ได้ว่าความประมาทนั้นเป็นต้นเหตุของความตายเสมอ เนื่องจากการไม่ระวัดระวังมักจะนำมาซึ่งความสูญเสียในทุก ๆ เรื่องซึ่งผู้ที่เสียใจที่สุดคือตัวของผู้ประมาทเอง หลายคนชอบอ้างความหลง ๆ ลืม ๆ ของตัวเองว่าเป็นสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ แต่ความจริงแล้วมันคือความประมาทเลินเล่อที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กและดูเหมือนว่าผู้ใหญ่หลายคนจะมีปัญหาที่คล้ายกันนั่นคือการลืมเด็กไว้ในสถานที่ต่าง ๆ จนนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เว็บไซต์ข่าวจากอังกฤษรายงานว่าเกิดเหตุการณ์สลดเมื่อครอบครัวพาเด็กชายเสี่ยวเถียนอายุ 3 ขวบ ไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล และกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ราว ๆ 11 โมง หลังจากนั้นครอบครัวจึงพากันไปทานอาหารต่อ จนกระทั่งเวลา 17.00 จึงนึกขึ้นได้ว่าลืมลูกไว้ในรถที่มีอุณหภูมิถึง 47 องศา เมื่อกลับไปที่รถอีกครั้งจึงพบว่าเด็กชายเสี่ยวเถียนได้เสียชีวิตไปแล้ว จากการสำรวจในที่เกิดเหตุทำให้ทราบว่าก่อนเสียชีวิตเด็กชายเสี่ยวเถียนได้พยายามตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดโดยมีรอยนิ้วมือปรากฎที่กระจกและหมดสติในที่สุด

อีกหนึ่งเรื่องราวอันน่าเศร้าเกิดขึ้นที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเด็กอีกเช่นกัน ซึ่งเป็นเด็กชายตัวน้อยมีอายุเพียง 1 ขวบถูกพ่อแท้ ๆ ลืมไว้ในรถ จนกระทั่งเพื่อนบ้านได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่เป็นเวลานานจึงตัดสินใจตามหาที่มาของเสียง และพบว่าเป็นเด็กชายตัวน้อยนอนสลบอยู่ในรถท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ เพื่อนบ้านจึงช่วยกันปฐมพยาบาลและพาเด็กส่งโรงพยาบาล แต่หมอไม่สามารถยื้อชีวิตน้อย ๆ นี้ไว้ได้โดยระบุว่าเด็กเสียชีวิตก่อนหน้านี้เกือบชั่วโมงแล้ว เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าสลดเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับประเทศไทยเองก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นที่จังหวัดปัตตานีจากความประมาทของคนขับรถรับส่งนักเรียนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพบศพของ ด.ญ. นูระนาเดีย มะ ที่เบาะนั่งหลังสุดของรถตู้รับส่งนักเรียนในสภาพขาดอากาศหายใจ ภายหลังสืบทราบว่าพนักงานขับรถอายุ 23 ปี ไม่ได้ตรวจเช็คนักเรียนก่อนทำการดับเครื่องรถเป็นผลให้เด็กหญิงที่กำลังนอนหลับอยู่เบาะหลังเกิดอาการฮีทสโตรกและหมดสติเสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้านแม่ของเด็กหญิงเผยว่ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแต่ไม่ติดใจเอาความโดยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานในการเอาผิดทางกฎหมาย ซึ่งคนขับรถตู้คนนี้ถูกแจ้งข้อหาเรื่องกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

จากกรณีดังกล่าวจะเห็นว่าการสูญเสียทั้งหมดล้วนมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ใหญ่ ดังนั้นการตรวจเช็คทุกอย่างก่อนลงจากรถจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือป้องกันด้วยการฝึกให้เด็กรู้จักเอาตัวรอดจากการถูกลืมไว้ในรถด้วยการสอนให้เปิด/ปิดประตูและหน้าต่างรถด้วยตัวเอง หรือบีบแตรเมื่อไม่สามารถออกมาจากรถได้ ดังนั้นสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ควรเสนอให้มีการสร้างนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหว และส่งสัญญานแสดงว่ายังมีคนอยู่ในรถหรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ควรถูกนำมาคิดต่อและพัฒนาเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้เพราะการป้องกันและความไม่ประมาทจะไม่นำมาซึ่งความสูญเสียในอนาคต

 


นวัตกรรม AI สุดล้ำ ทำหน้าที่หลายอย่างได้คล้ายมนุษย์คาดอาจเกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น

เทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์นั้นเกิดจากการพัฒนาจนนำไปสู่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นการสร้างเพื่อนำมาพัฒนาในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนแรงและย่นระยะเวลาของมนุษย์สำหรับการประดิษฐ์คิดค้นนวัตรรมใหม่ ๆ ชนิดอื่นต่อไป แต่ความเก่งกาจและการจัดการความคิดในสมองของ AI เหล่านี้อาจส่งผลให้มนุษย์รุ่นใหม่ในภายภาคหน้าอาจพากันว่างงานเพราะถูกแทนที่โดยปัญญาประดิษฐ์ไปแล้วก็ได้

บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิ้ลก็ได้ออกนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์มาให้ได้ใช้งานเช่นกัน นั่นก็คือ  Google Assistant ซึ่งเป็นระบบที่ปรึกษาที่ถูกผนวกเข้ากับ AI ทำให้สามารถรับคำสั่งทางโทรศัพท์ และสนทนากับมนุษย์คู่สายแทนมนุษย์ได้ เช่น การโทรนัดร้านตัดผม โทรจองโต๊ะอาหาร หรือการโทรนัดหมายสำคัญต่าง ๆ โดยระบบ AI ของกูเกิ้ลสามารถสนทนาได้เหมือนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด และการรับมือกับอารมณ์ของคู่สนทนา รวมทั้งมีน้ำเสียงและจังหวะการพูดที่คล้ายกับมนุษย์จริง

ฝั่งเอเชียเองก็ได้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้ก้าวล้ำเช่นเดียวกันโดยเฉพาะการสร้าง AI เพื่อตอบสนองต่อระบบการพัฒนาการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นมีการวางแผนว่าอีก 2 ปีข้างหน้านักเรียนในระดับชั้นประถมและมัธยมต้นจะต้องมีครู AI สำหรับการสอนภาษาอังกฤษทั่วประเทศจำนวนกว่า 500 ชั้นเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นถือว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่นักเรียนญี่ปุ่นทุกคนต้องได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องการสนทนา และสำเนียงการสื่อสารที่ชัดเจน ดังนั้นการทุ่มงบเพื่อครูสอนภาษาอังกฤษ AI จึงเป็นการลงทุนที่ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

อีกหนึ่งความก้าวล้ำของวิทยาการปัญญาประดิษฐ์ที่ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ของโลกนั้นถูกสร้างโดยบริษัทดีปมายด์ (Deep Mind) ซึ่งอยู่ในเครือกิจการเดียวกับกูเกิ้ล ได้ออกแถลงการณ์ว่าตนสามารถพัฒนาหุ่นยนต์ AI ให้มีปัญญาคล้ายกับคนได้ โดยการสร้างเซลล์โครงข่ายประสาทเทียมให้มีความคล้ายคลึงกับสมองของมนุษย์มากที่สุด เพื่อให้ AI ได้มีการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง จากนั้นได้จำลองการหาทางออกจากเขาวงกตโดยให้ปัญญาประดิษฐ์ชนิดนี้ได้พยายามหาทางออก และเมื่อทดลองอยู่หลายครั้งจึงพบว่า AI สามารถใช้ทักษะจากการฝึกหลาย ๆ ครั้งและประมวลผลจนหาทางออกจากเขาวงกตได้ในที่สุด แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถใช้ความจำ และระบบคิดวิเคราะห์ที่ถูกเลียนแบบจากสมองมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้ทราบว่ามนุษย์สามารถสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เคยจินตนาการไว้ในอดีตให้เป็นความจริงได้ หลายคนจึงเป็นกังวลเรื่องการถูกลดการจ้างงานจากบรรดาบริษัทต่าง ๆ ดังนั้นมนุษย์เองควรใช้ความกังวลเหล่านี้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใจเรียนรู้วิวัฒนาการใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อทุ่นแรงในการทำงานได้เพื่อที่จะไม่กลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถที่ถูกแทนที่ได้ด้วย AI ในอนาคต